top of page

Nepal

เดินทางช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2019 ระยะเวลาเดินทาง 6 วัน

Boudhanath, Nepal

เนปาลเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักเดินทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสายเดินเขาเพื่อพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก Everest เอเวอเรสต์ หรือสายบุญซึ่งไปแสวงบุญ ณ สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าที่ ลุมพินีวัน หรือสายวัฒนธรรมที่ต้องการเยือนเจดีย์ Boudhanath สัญญาลักษณ์ของเนปาล จะเห็นว่าเนปาลมีวิธีเที่ยวหลากหลายมาก มิน่าละนักเดินทางทั่วโลกจึงอยากได้ไปเยือนสักครั้ง

Himalaya, Nepal เทือกเขาหิมาลัย

สำหรับตัวเองมีโอกาสได้อ่านเกี่ยวกับประเทศนี้บ่อยๆแบบปะติดปะต่อจากหน้านิตยสาร เวลาคิดว่าจะเดินทางไปที่ไหนดี เนปาลก็มีแว๊บขึ้นมาในหัวบ้าง แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆที่ดูน่าตื่นเต้นกว่า เช่น อินเดีย ปากีสถาน เนปาลเลยดูเหมือนประเทศในขุนเขาที่จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ และก็เป็นที่น่าเสียดายที่พอตัดสินใจไปเมื่อปี 2015 ก็เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ซะได้ในเดือนเมษายน ทำให้เมืองเก่า โบราณสถานทั้งหลายถล่มทลาย แต่มนต์เสน่ห์ของเนปาลไม่ได้หดหาย หลังเสร็จการกู้ภัยนักท่องเที่ยวก็ไหลกลับในปีต่อมา และปัจจุปันมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปมากทะลุ 1 ล้านคนต่อปี

Kathmandu, Nepal เมืองหลวงของเนปาล ตั้งอยู่ในหุบเขาและมีประชากรกว่า 1ล้านคน

เนปาลตั้งอยู่ระหว่างอินเดียกับจีน(ทิเบต)ในหุบเขาทางด้านใต้ของเทือกเขาหิมาลัย มีขนาดเพียง 147,181 ตารางกิโลเมตร หรือเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศไทย และเป็นเพียง 1 ใน 15 ประเทศทั่วโลกที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มี Kathmandu กาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวง โดยมีประชากร 29ล้าน ในจำนวนนี้ 1ล้านคนอาศัยในกาฐมาณฑุ ที่น่าสนใจคือเนปาลมีชนชาติทั้งเล็กใหญ่มากกว่า 100 ชนชาติ แต่อยู่ด้วยกันอย่างสงบ ทำให้คนที่ไปเยือนได้สัมผัสกับเสน่ห์ของความแตกต่างทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ วิถีชีวิตที่หลากหลาย ที่รวมอยู่ในที่เดียวกัน


Himayalas เทือกเขาหิมาลัย

Everest Scenic Flight บินขึ้นไปชมเทือกเขาหิมาลัยและชมยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกทั้ง 8 จาก 14 ยอดในระยะใกล้

เนปาลเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและอารยธรรมเก่าแก่ เนื่องจากเนปาลมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ นักท่องเที่ยวสามารถไต่เขาชมเทือกเขาหิมาลัย อีกทั้งยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก 8 ยอด จากจำนวน 14 ยอด รวมทั้งยอดเขาเอเวอร์เรสต์ที่สูงที่สุดในโลกอยู่ในเนปาล สำหรับตัวเองจะให้เดินเขา 11วันเพื่อไป Base Camp ก็ไม่ใช่เรื่องแน่นอน (และใช้ว่าจะถูกๆ ถ้าคิดว่าการเดินและนอนแค้มป์จะประหยัด ทริปหนึ่งราคาราว 4หมื่น ไม่รวมทิปสำหรับไกด์และลูกหาบ) จึงเลือกการบินขึ้นไปชมยอดเขา Everest Scenic Flight แทนการเดิน ซึ่งใช้เวลาเพียง 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น (รวมเวลาบิน 1 ชั่วโมง) ซึ่งทั้งปลอดภัยและสบาย ช่วงเวลาบินจะเป็นตอนเช้าๆ ซึ่งมีหลายสายการบินให้บริการ ราคาราว 200 ตอลลาร์

ลำที่ขึ้นวันนั้นคือของสายการบิน Yeti ซึ่งเป็นเตรื่องบินรุ่น ATR 72 (แนะนำให้เลือกที่นั่งด้านส่วนหน้าสุดของเครื่อง ถ้าไม่ได้ให้หลีกเลี่ยงบริเวณปีก) เขาจะให้นั่งข้างละคนเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้เห็นวิวเต็มๆ เมื่อเครื่องขึ้นถึงจุดที่นิ่งแล้ว แอร์จะมาเชิญผู้โดยสารทีละคนเพื่อเข้าไปถ่ายรูปในห้องกัปตันและชมวิวเทือกเขาหิมาลัยแบบ panorama หลังจากนั้นแอร์จะแจกแชมเปญพร้อมใบรับรองว่าเราได้ไปถึงยอดเขา ซึ่งถ้าจะว่าไปเป็นการขึ้นไปเห็นยอดเขาในระยะกลางๆไม่ได้ใกล้มาก เพราะยังเป็นเครื่องบิน ถ้าอยากเห็นในระยะใกล้ๆและได้ลงเหยียบจริงๆ แนะนำให้นั่งเฮลิคอร์ปเตอร์ซึ่งราคาจะอยู่ราว 1,000 ดอลลาร์ ระยะเวลา 4 ชั่วโมง โดยจะนั่งเครื่องไปลงที่ Lukla ซึ่งเป็นจุดเริ่มของเส้นทางเทรคขึ้นไป Base Camp เปลี่ยนนั่งเฮลิคอร์ปเตอร์ขึ้นไป Base Camp ใช้เวลาประมาณ 25นาที เขาจะให้เวลาลงไปเดินเล่น 10นาที แล้วบินต่อไปลงที่โรงแรมตรง Kalapather กาลาปาตอร์ เพื่อทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวยอดเขา Everest เอเวอเรสต์ ในระยะใกล้ จากนั้นลงมาที่สนามบิน Lukla เพื่อบินกลับกาฐมาณฑุ ถือเป็นการเที่ยว Everest ที่ short cut ที่สุด เสร็จในครึ่งวัน


Everest เอเวอเรสต์

ยอดเขา Everest ยอดที่สูงที่สุดในโลกด้วยความสูง 8,848เมตร

ยอดเขา Everest ยอดที่สูงที่สุดในโลก ความสูง 8,848เมตร ได้รับการรับรองจากอินเดียในปี 1955 และจีนในปี 1975 นักปีนเขากลุ่มแรกที่ขึ้นไปถึงยอดเขาเอเวอเรสต์คือชาวอังกฤษ George Mallory และ Andrew Irvine ในวันที่ 8 มิถุนายน1924 แต่ทั้งสองหายสาบสูญระหว่างทางลง ร่างของ Mallory เพิ่งถูกพบในปี 1999 ตรงด้านเหนือของยอดเขาเอเวอเรสต์ นักปีนเขากลุ่มแรกที่ขึ้นไปถึงยอดและกลับลงมาสำเร็จคือ ทีมนักปีนเขาชาวเนปาล Tenzing Norgay และ ชาวนิวซีแลนด์ Edmund Hillary ในปี 1953 โดยลงจากทางใต้หน้าผา จนในปี 1960 ทีมนักปีนเขาชาวจีนเป็นกลุ่มแรกที่พิชิตและลงจากด้านเหนือได้สำเร็จ การพิชิตยอดเอเวอเรสต์ต้องใช้เวลาและเงินจำนวนไม่น้อย โดยเฉลี่ยคือ 45,000 ดอลลาร์ (แค่ใบอนุญาติอย่างเดียวก็ 11,000 ดอลลาร์) และเวลา 64วัน


Boudhanath Stupa มหาเจดีย์โพธินาถ

เมื่อได้เห็นยอดเขาEverest เอเวอเรสต์ ด้วยตาเปล่าสมใจ สถานที่ที่ต้องได้ไปเห็นต่อไปคือ Boudhanath Stupa มหาเจดีย์โพธินาถ หรือ พุทธนาถ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเนปาล และเป็นสัญญาลักษณ์ของเนปาลที่เราเห็นบนโปสการ์ด เจดีย์พุทธนาถได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดย UNESCO ตั้งอยู่ในกาฐมาณฑุ ถือเป็นโบราณสถานที่สำคัญมากสำหรับพุทธศาสนานิกายมหายาน และเป็นมหาสถูปที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล ความโดดเด่น อยู่ที่บนเจดีย์มี “ดวงตาเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า” (Wisdom Eyes) ปรากฎทั้ง 4 ทิศ ซึ่งในภาษาของชาวพุทธเรียกว่า"ธรรมจักษุ"คือ ความรู้เห็นตามเป็นจริง ด้วยปัญญา และจุดเด่นอีกอย่างคือรูปตาคิ้วทั้งสี่ด้าน และขีดที่เหมือนจมูกเป็นตัวเขียนเลข “1” ในภาษเนปาล หมายถึงการเป็นเอกภาพหรืออันหนึ่งอันเดียวกัน

Boudhanath Stupa เจดีย์โพธินาถ สังเกตุพื้นที่รอบเจดีย์ที่ดดูเหมือนMandala “จักรวาล” ในความเชื่อของธิเบต

มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจดีย์พุทธนาถมากมายหลายเวอร์ชั่น เชื่อกันว่ามหาเจดีย์ที่เราเห็นทุกวันนี้น่าจะสร้างในศตวรรษที่ 14 โดยหากมองจากด้านบนจะเห็นว่าเจดีย์นี้มีทรงเหมือน Mandala (“จักรวาล” ในความเชื่อของธิเบต) ความสูง 9 ชั้น เท่ากับเขาเมรุในสรวงสวรรค์ และวงแหวน 13วงจากฐาน เปรียบได้กับเส้นทางสู่การตรัสรู้ สำหรับชาวพุทธิเบตเจดีย์นี้มีความสำคัญมาก ในอดีตกาลจุดตรงนี้เป็นเส้นทางการค้ากับธิเบต และในปี 1959 ช่วงที่จีนยึดธิเบตชาวธิเบตอพยพไหลเข้ามาตั้งรกรากรอบเจดีย์นี้ ปัจจุปันสร้างเป็นตึกและท่านดาไลลามะเสด็จมาเพื่อแสดงธรรมที่นี่ด้วย เราจะเห็นภาพพุทธศาสนิกชนเดินเวียนล้อมเจดีย์มากมาย แต่ที่น่าสนใจคือการเดินเวียนเทียนของเขาจะเดินกันเร็วมากพร้อมท่องบทสวดไม่หยุด บริเวณโดยรอบยังมีพระลามะธิเบตนั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ และยังมีนกพิราบหลายร้อยตัวรอให้คนมาให้อาหาร ถือเป็นพื้นที่ที่วุ่นวายมากเลยทีเดียว


Swayambhunath Stupa เจดีย์สวะยัมภูนาถ

ถ้าเทียบความสำคัญแล้ว Swayambhunath Stupa เจดีย์สวะยัมภูนาถซึ่ง UNESCO ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มีความสำคัญกว่ามหาเจดีย์โพธินาถ ด้วยความที่เก่าแก่ที่สุดในเนปาล สวะยัมภูนาถนั้นเป็นเจดีย์พุทธ (Buddhist Chaityas) ที่เก่าแก่มากถึง 1,500 ปี และที่นี่มีอีกชื่อว่าวัดลิง ที่ชื่อวัดลิงเพราะมีลิงอาศัยอยู่มาก แต่ไม่ดุเท่าในไทย ว่ากันว่าลิงเหล่านี้เป็นลูกหลานของลิงที่เกิดจากเหาของพระโพธิสัตว์ซึ่งเสด็จมาที่สวะยัมภูนาถเมื่อครั้งที่ที่ตรงนี้เป็นเพียงทะเลสาบ พระโพธิสัตว์เห็นว่าที่ตรงนี้เหมาะกับการเป็นศาสนาสถานจึงบันดาลให้น้ำในทะเลสาบหายไปและกลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเจดีย์สวะยัมภูนาถ คือการผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธกับฮินดู เพราะว่าหลังจากที่เจดีย์สวะยัมภูนาถถูกสร้างในศตวรรษที่ 5 โดยราชวงศ์ Licchavi ซึ่งเป็นพุทธแล้ว ราชวงศ์ต่อๆมาที่ปกครองเนปาลนับถือศาสนาฮินดู

Kathmandu city view

บริเวณเจดีย์สวะยัมภูนาถตั้งอยู่บนเนินเขาซึ่งมองเห็นวิวเมืองกาฐมาณฑุทั้งเมือง เหมาะที่จะมาเยือนในเวลาเย็น

Pashupatinath Temple วัดปศุปฏินาถ

เมื่อไปเยือนเนปาลพลาดไม่ได้ที่จะต้องไป Pashupatinath Temple วัดปศุปฏินาถตั้งอยู่นอกเมืองกาฐมาณฑุ บนริมฝั่งแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ภัคมาติ ซึ่งเป็นแม่น้ำที่ไหลไปรวมกับแม่น้ำคงคา เป็นวัดสำคัญทางศาสนาฮินดูที่มีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงาม จุดเด่นอยู่ที่หลังคาสีทอง 2 ชั้น ที่นี่เป็นศูนย์กลางของการแสวงบุญประจำปีของชาวฮินดู ในวันมหาศิวะราตรีจะมีผู้คนเข้าร่วมงานกว่า 1 ล้านคนเลยทีเดียว

ด้วยความที่ปศุปฏินาถตั้งอยู่บนแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นพื้นที่เผาศพที่สำคัญพอๆกับพาราณสีของอินเดียเลยทีเดียว สำหรับคนท้องถิ่นการเข้าร่วมพิธีศพไม่ได้เป็นเรื่องอัปมงคล สำหรับพวกเขาการร่วมพิธีศพมิเพียงเป็นการไว้อาลัยแก่ผู้ตาย แต่ที่สำตัญมันคือการตอกย้ำถึงการมีชีวิตอยู่

นักท่องเที่ยวมาที่นี่เพื่อได้เจอ Sadhu (อ่านว่าศาดุ) ผู้ทรงศีลหรือที่คนไทยเราเรียกว่าโยคี ซึ่งอาศัยอยู่กันเยอะมากที่วัดปศุปฏินาถ Sadhu ที่นี่ส่วนใหญ่เป็นสาวกของพระศิวะ (โยคีแบ่งเป็นสาวกของเทพใหญ่ทั้ง 3ของฮินดู) หลังวัดมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าผู้ทรงศีล ซึ่งแต่ละคนจะแต่งตัวกันเต็มยศ มาก และบางคนยอมให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย


Durbar Square จัตรัสดูร์บาร์

Durbar Square, Kathmandu, Nepal

Durbar Square เป็นพื้นที่หน้าพระราชวังกาฐมาณฑุ พระราชวังเดิมสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 และเปลี่ยนมือหลายราชวงศ์ ว่ากันว่าอาคารรอบๆ Durbar Square นี้สร้างโดย กษัติย์ Sankharadev ในช่วงศตวรรษที่ 11 และมีการก่อสร้างต่อกันเรื่อยมาจนถึงศตวรรษที่ 19 งานสำคัญต่างๆ เช่นงานราชาภิเษกยังคงจัดที่นี่ เป็นที่น่าเสียดายมากที่ปัจจุปันโบราณสถานหลายแห่งในจตุรัสนี้ยังคงต้องซ่อมแซมอยู่หลังจากที่เกิดแผ่นดินไหวหนักในปี 2015

Bhaktapur ภักตะปูร์

Bhaktapur, Nepal ภักตะปูร์

สำหรับคนที่ชอบเมืองเก่าๆต้องไม่พลาด Bhaktapur ภักตะปูร์ ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตกเพียงแค่ 20 กิโลเมตร เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่มากมาย แม้จะเสียหายจากแผ่นดินไหวไปมาก แต่ดูสมบูรณ์กว่า Durbar Square มาก

จุดศูนย์กลางคือ Bhaktapur Durbar Square บริเวณนี้จะมีอาคารบ้านเรือนและศาสนสถานที่สำคัญตั้งอยู่มากมายหนึ่งในนั้นก็คือเทวาลัย 5 ชั้น ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระแม่ลักษมี รอบๆบริเวณจตุรัสมีร้านขายของสำหรับนักท่องเที่ยวมากมาย แต่พอตกเย็นกลางจตุรัสจะมีพ่อค้าแม่ขายมาตั้งของสดขายคนท้องที่ กลายเป็นเสนห์อย่างหนึ่ง จึงแนะนำให้เที่ยวที่นี่ในเวลาเย็น


Asan Market

ส่วนตัวเป็นคนชื่นชอบตลาด เพราะเราจะเห็นการใช้ชีวิตประจำวันได้จากการจับจ่ายของคนในพื้นที่ ฉะนั้นไปที่ไหนก็พลาดไม่ได้ที่จะไปเดินเล่นในตลาด สำหรับ Asan Market ซึ่งอยู่ติดกับย่าน Thamel นั้น แปลกมากที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะไปแวะซื้อของที่ Thamel ซึ่งขายของที่ระลึกและอุปกรณ์ปีนเขามือสอง อารมณ์เหมือนถนนข้าวสารบ้านเรา (Thamel เต็มไปด้วยโฮสเตลและฝรั่งแบกเป้) แต่ไม่ค่อยมีคนเดินทะลุเข้าไปในย่าน Asan ย่าน Asan Market ติดกับ Thamel เมื่อเข้าสู่ย่านนี้ถนนจะเล็กลง มีคนเนปาลเดินกันเต็มไปหมด และเต็มไปด้วยร้านค้าอารมณ์คล้ายสำเพ็งบ้านเรา แต่สนุกกว่ามากๆ มีขายของทุกประเภทและแบ่งเป็นโซน ครอบคลุมถนนถึง 6 เส้น

Ason Market เคยเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทาง Indo-Tibet Road อินเดีย-ธิเบต จึงเป็นตลาดมาหลายร้อยปี มีวัดฮินดูและสถูปอยู่หลายจุด คนเนปาลมักมาที่นี่เพื่อซื้อของจัดงานแต่ง และงานเทศกาลต่างๆ ราคาของถูกมากและแปลกตาดี ที่น่าสนใจคือจุดที่ขายอาหารทะเลแห้ง จะเห็นปลาตัวน้อย ตัวใหญ่ ที่ถูกใส่ถุงแบบกระสอบเปิดฝาไว้เพื่อโชว์สินค้า แต่มีแมลงวันเต็มไปหมด อาจเป็นเพราะเนปาลไม่ติดทะเลจึงมีอาหารทะเลน้อยมาก อันที่จริงเคยเห็นปลาพวกนี้ที่ตลาดในชิดตุ้ย รัฐยะไข่ที่พม่า เมื่อครั้งที่ไปมรัคอู (อ่านเกี่ยวกับมรัคอู เมืองที่ถูกลืม https://www.gooutseeworld.com/post/mrauk-u-myanmar) ตอนนั้นยังคิดเลยว่าปลาพวกนี้ขายใคร เมื่อสอบถามพบว่าปลาเหล่านี้จะถูกนำมาทอดอีกที เพื่อทานกับข้าว เขาจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องแมลงวันมากนัก

รอบๆ Asan Market มีวัดเก่าๆหลายแห่ง ซึ่งแวะเข้าไปดูแล้ว แม้จะเล็กและไม่โอ่อ้าเท่าเจดีย์โพธิ์นาถ แต่เป็นวัดที่ยังมีคนมากราบไว้ และมีรายละเอียดสวยงามมาก


Garden of Dreams

ในรอบนอกย่าน Thamel ซึ่งส่วนตัวคิดว่าไม่มีอะไรน่าพิสมัยเลย นอกจากจะได้เสื้อผ้าของ Northface และ Columbia ในราคาถูกมากแบบ outlet ซึ่งก็แปลว่าของแท้ตกรุ่น ส่วนที่เหลือเป็นร้านค้าที่ไม่ได้เจริญตาและมีดาดเดื่อนทั่วโลก แต่เดินๆไป เจอ Garden of Dreams ซึ่งมีกำแพงสูงล้อมรอบ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวัง และหอสมุดแห่งชาติ ต้องบอกว่าทีแรกไม่ได้สนใจมากนัก เผอิญว่าไม่ได้ตรวจสอบเวลาเปิดให้ดีเป็นวันที่ปิดทำการ จึงเข้าไปชมที่สวนนี้แทน ซึ่งต้องเสียค่าเข้าชมด้วย และต้องบอกว่าชักไม่แน่ใจว่าอยากเข้าไป เพราะมองไม่เห็นออะไรจากทางเข้า แต่ก็ลองเข้าไปดูและต้องแปลกใจกับความสวยงามภายใน ช่างแตกต่างกับทุกที่ที่ไปในกาฐมาณฑุอย่างสุดขั้ว กาฐมาณฑุโดยทั่วไปมีแต่ฝุ่นและสกปรก ต้นไม้น้อยมากและดูแห้งแล้ง ด้านในสวนนี้เหมือนคนละโลก

Garden of Dreams หรือ Garden of Six Seasons ถุกสร้างในช่วงต้นยุค1920 โดย Kaiser Sumsher Rana ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 3 ของผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จของเนปาลซึ่งเป็นตระกูล Rana (ประวัติศาสตร์ของเนปาลน่าสนใจมากๆ เอามาสร้างหนังได้หลายเรื่องเลยทีเดียว แนะนำให้ไปหาอ่านต่อ) และได้แต่งงานกับมกุฎราชกุมารีแห่งเนปาล เขาดำรงตำแห่งสำคัญมากมายในรัฐบาลเนปาล และได้สร้างสวนขนาด 6,895 ตารางเมตรนี้ในแบบ Edwardian รวมถึงสิ่งก่อสร้างมากมายและหอสมุดแห่งชาติ Kaiser Library ซึ่งเขาได้บริจาคทั้งสวนและหอสมุดแก่รัฐบาลเนปาลในพินัยกรรม ในปี 1964 สวนนี้ถูกขนานนามว่าเป็นสวนที่สวยที่สุดในยุคนั้น โดยสวนถูกออกแบบแบ่งออกเป็น 6 ฤดูของเนปาล Basanta Ritu(Spring) ฤดูใบไม้ผลิ Grishma Ritu (Early Summer) ต้นฤดูร้อน Barkha Ritu(Summer Monsoon season) ฤดูร้อน Sharas Ritu(Early Autumn) ฤดูใบไม้ร่วง Hemanta Ritu (Late Autumn) ปลายฤดูใบไม้ร่วง และ Shishir Ritu (Winter) ฤดูหนาว

เสียดายที่สวนถูกทิ้งร้างตั้งแต่รัฐบาลรับมอบไป ในปี 1964 และเพิ่งได้รับการบูรณะในช่วง 2000-2007 โดย Austrian Development Aid ในรัฐบาลออสเตรีย แต่คืนสภาพเดิมเพียง 50% เท่านั้น แค่นี้ก็สวยมากสมกับชื่อ "สวนแห่งความฝันแล้ว" ทำให้เราจินตนาการได้ว่าอดีตเนปาลน่าจะรุ่งเรืองเพียงใด ในยุคที่เส้นทางการค้ายังต้องผ่านเนปาล เฉกเช่นหลายประเทศที่เห็น เช่น ปากีสถาน อินเดีย ซึ่งในยุคโบราณเป็นทางผ่านของเส้นทางการค้าสำคัญ...เส้นทางสายไหม และล้มสลายเมื่อเส้นทางการค้าเปลี่ยนเป็นทางน้ำ และปัจจุปันเป็นทางอากาศ ทิ้งให้ประเทศที่เคยรุ่งเรืองเหล่านั้นล่มสลายไปตามกาลเวลา


Patan ปาทัน

Patan ปาทัน เมืองเล็ก ๆ ทางตอนใต้ของเมืองกาฐมาณฑุ เป็นอีกหนึ่งสถานที่มีมั่งคั่งไปด้วยศาสนสถานและสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ และเป็นเมืองพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในเนปปาล โดย Patan ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ใครอยากเห็นวัฒนธรรมที่แท้จริงของคนเนปาล ก็ต้องมาเยือนที่เมืองแห่งนี้ Patan ปาตัน หรือเรียกอีกชื่อว่า Lalitpur ลาลิตปูร์ เพราะตั้งแต่ก่อตั้งเมืองในศตวรรษที่ 3 ก็มีผู้อาศัยในเมืองนี้ตลอดมา จุดท่องเที่ยวสำคัญคือ Patan Durbar Square จัตุรัสปาตัน ดูร์บาร์ ที่ภายในมีทั้งวัด พระราชวังปาตัน วิหารทองคำ เสียดายที่ปาตันถูกแผ่นดินไหวปี 2015 ทำลายเสียหายมาก จนปัจจุปันยังบูรณะไม่เสร็จ

และถ้าใครอยากเข้าเห็น องค์กุมารี ซึ่งเป็นเทพธิดาผู้มีชีวิตของเนปาล เป็นอวตารของเทวีทุรคาซึ่งเป็นชายาของพระศิวะ ก็ต้องมาเฝ้าที่นี่เลย แล้วทำไมกุมารีถึงเป็ยอวตารของเทวีทรุคา ตำนานเล่าว่าในอดีตเทวีทรุคาเส็จลงมาเพื่อพูดคุยกับกษัตริย์ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามแตะต้องโดนตัวพระองค์ แต่กษัตริย์ผิดคำสัญญาเทวีทรุคาจึงไม่เสด็จลงมาอีก แต่เมื่อองค์กษัตริย์ทำพิธีขออภัยโทษพระนางจึงยอมลงมา แต่จะมาในร่างของเด็กหญิงเท่านั้น จึงเป็นที่มาของกุมารี

(ภาพด้านบนเป็นภาพพระราชวัง Patan ไม่มีภาพของกุมารี เนื่องจากไม่อนุญาติให้ถ่ายภาพ)


เรื่องเล่าเกี่ยวกับกุมารี โดยปกติเท้าของกุมารีจะสัมผัสพื้นไม่ได้ จะเดินทางไปไหนต่อไหนโดยมีคนอุ้มไปเท่านั้น ฉะนั้นปกติกุมารีจะไม่ออกไปข้างนอก ยกเว้นช่วงเทศกาลที่มีพีธีเท่านั้น พิธีการที่ว่านั้นจะมีเพียง 13 ครั้งต่อปี เช่น เทศกาล Rato Machindranath เทศกาลขอฝน เป็นต้น ตามตำนานระบุว่า กุมารีเป็นเด็กหญิง วัยตั้งแต่ 3 ขวบที่ผ่านการเลือกจากสังฆราช 5 รูป และโหรหลวง ว่า เด็กหญิงที่มีสิทธิเป็นกุมารี ต้องเป็น Newar ชาวเนวาร์ เชื้อสายศากยะ อยู่ในวรรณะคนทำเครื่องเงินและเครื่องทอง จะต้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยหลั่งเลือด หรือป่วยด้วยโรคใดๆ มาก่อน และจะต้องมีฟันครบถ้วน 20 ซี่ จากนั้นจะทำการสำรวจลักษณะจำเพาะ 32 ประการ ว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับเทพเจ้าหรือไม่ เช่น มีคอดั่งหอยสังข์ มีร่างกายเหมือนลำต้นไทร มีขนตาเหมือนโค มีสะโพกเหมือนกวาง หน้าอกเหมือนราชสีห์ เสียงเบาและชัดเจนเหมือนเป็ด มีผมและตาสี มีมือและเท้าเล็ก เป็นต้น เมื่อได้รับการคัดเลือกแล้ว กุมารีจะต้องมาอาศัยอยู่ในตำหนักใหญ่ หรือที่เรียกว่า “การ์” เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวเนปาล ตลอดช่วงที่เธอยังไม่มีโลหิตไหลออกจากร่างกายและตำแหน่งนี้จะหมดลงเมื่อเด็กสาวมีประจำเดือนเป็นครั้งแรก


Pokhara โภครา

Pokhara โภครา เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับ 2 รองจากกาฐมาณฑุ เพราะที่นี่เราสามารถไปเยือนเทือกเขา Sarangkot ซารางก็อต จาก Sarangkot สามารถมองเห็นยอดเขาที่สวยและสูงที่สุดของเทือกเขาหิมาลัยได้ 3 ที่ ก็คือ ยอดเขา Annapurna อันนาปูรณา และ Dhaulagiri ทรุลาคีรี และ Manaslu ยอดเขามัจฉาปูชเร (ยอดเขาหางปลา) ซึ่งยอดเขาเหล่านี้ติด 1 ใน 10 ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าที่สวยงามสุดๆ แสงแดดจะสะท้อนกับเทือกเขาที่มีหิมะปกคลุม และยังมีวิวแม่น้ำเซติที่ด้านล่างอีกด้วย ใครเป็นสายธรรมชาติต้องมาชมด้วยตัวเองให้ได้สักครั้ง แต่ออกกจะโชคร้ายเสียหน่อย ในช่วงที่เราไปโภคาราดันฝนตกตอนเย็น ทำให้มีหมอกมากเกินไป ไม่สามารถมองเห็นยอดเขาต่างๆได้ชัด ทั้งที่อุตสาห์เลือกเดินทางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่ท้องฟ้าเปิดมากที่สุดแล้วสำหรับเนปาล


Phewa Lake

จากจุดชมวิวลงช่วงรุ่งสร่างไปต่อที่ Phewa Lake ทะเลสาบเฟวา ซึ่งเป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ จากทะเลสาบจะมองเห็นยอดเขามัจฉาปูชเรได้ด้วย ก็ลงเรือพยายามต่อไปจะถ่ายยอดเขา ผืนน้ำของทะเลสาบนี้ทำให้เกิดเงาสะท้อนของยอดเขา ตรงกลางทะเลสาบ Phewa Lake มีวัดฮินดูเล็กๆ Tal Barahi Temple ซึ่งบูชาเทวีทรุคาซึ่งถือเป็นเทวีผู้ปกป้องเทพเจ้า จะมีชาวฮินดูมาบูชาไม่ขาดสายทั้งวัน


Davi's Falls

Davi's Falls, Sarangkot, Nepal

สำหรับคนที่มาเที่ยวโภคราจะพ่วงเที่ยว Davi’s Falls น้ำตกเดวิส เป็นน้ำตกที่ทอดยาวทิ้งตัวจากลำธารลงสู่ช่องเขาที่ลึกกว่า 100 เมตร ดูแปลกตาไม่เหมือนน้ำตกที่ไหน เพราะปกติ เราจะเห็นแต่น้ำตกตกลงมา อันนี้คือเรามองดูน้ำตกที่ตกลงไปในช่องเขาแคบๆลึกๆด้านล่าง ซึ่งชื่อของน้ำตกถูกตั้งตามชื่อของ นายเดวี นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ตกลงไปในช่องของน้ำตกและเสียชีวิตที่นี่ (ชื่อเหมือนว่าเดวีตกน้ำมากกว่า) การชมน้ำตกต้องชะโงกหน้าลงไปมองลอดลูกกรงดูน้ำตก เพราะไม่อยากให้มีคนตกลงไปเหมือนนายเดวี จึงได้มีการทำรั้วเหล็กขึ้นมากั้นเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว เป็นจุดแวะเที่ยวที่ตลกดี เหมือนแวะพักมากกว่า ถ้าไม่มีเวลา ไม่ต้องจัดในตารางเลยก็ได้ แนะนำให้ไปนั่งเล่นจิบชาในโรงแรมดีกว่า เพราะเมืองโภคราเหมือนเมืองตากอากาศ ที่อากาศดีและสิ่งแวดล้อมปลอดโปร่ง


Kirtipur คีร์ติปูร์

Kirtipur, Nepal

ในเมื่อไม่ได้ไปเดินเขาในทริปนี้ การเที่ยวเนปาลรอบนี้จึงเป็นการส่องดูเมืองและคน ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจไป Kirtipur ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดกับกาฐมาณฑุ 1 ใน 5 เมืองที่อยู่ใน Kathmandu Valley หรือ Nepal Vallely หุบเขากาฐมาณฑุ ซึ่งประกอบไปด้วย 5 เมือง Kathmandu, Kirtipur, Lalitpur, Bhaktapur และ Madhyapur Thimi ในเขตหุบเขากาฐมาณฑุนี้มีอนุสรณ์สถานโบราณมากถึง 130แห่ง โดย Kirtipur เป็นพื้นที่ที่ชนดั่งเดิมของเนปาล Newar ชาวเนวาร์อาศัยอยู่ และเคยเป็นส่วนหนึ่งของ Lalitpur ในอดีตมีประวัติยาวนาน ปัจจุปันเนื่องจากเป็นที่ตั้งของ Tribhuvan University มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในเนปาล ก่อตั้งในปี 1959 จึงเหมือนเป็นเมืองมหาวิทยาลัย

ในเมืองเก่า Kirtipur มี 3 เทวสถานที่สำคัญวัดฮินดู Bagh Bhirab วัดฮินดู Uma Maheshwar และเจดีย์ Chilancho Stupa ซึ่งเราเริ่มจากจุดที่สูงที่สุดก่อนคือ Uma Maheshwar ตั้งอยู่บนยอดของ Kirtipur Hill บนความสูง 1418เมตร จากบริเวณวัดนี้เราสามารถมองเห็นยอดเขา Ganesh Himal (7606m), Langtang (7234m), Gauri Shankar (7134m), Cho Oyu (8201m) และ Sisapangma (8,013m) จากจุดนี้เราจะเห็นเมืองทั้งเมือง วัดนี้บูชา Shiva พระศิวะและ Pavatri เทวีภาวตรี ตัวอาคารมีงานแกะสลักสวยงามแต่น่าเสียดายที่เสียหาจากแผ่นดินไหว และไม่ได้รับการซ่อมแซมเท่าไหร่

ส่วนที่สำคัญที่สุดในเมืองคือวัด Bagh Bhairab ที่บูชาเทพ Bhairab พระศิวะในปางที่เป็นเสือดุร้าย ซึ่งเป็นเทพพิทักษ์ของชาวคีติบูร บรรยกาศในวัดดูน่ารื่นรมย์ ทุกเช้าจะเต็มไปด้วยชาวบ้านที่อาศัยในระแวกนี้มากราบไหว้พร้อมน้ำสะอาด ผงสีและดอกไม้ที่เตรียมมาจากบ้าน และเหมือนทุกวัดในเนปาล จะมีนกพิราบมาอาศัยอยู่มากมาย หน้าวัดแห่งนี้เป็นตลาดใหญ่ที่มีชาวบ้านมาเดินจับจ่ายในช่วงเช้า โดยพ่อค้าแม่ค้าก็เป็นชาวนาชาวไร่ในพื้นที่

จากนั้นเดินเท้าไป Chilancho Stupa ซึ่งเป็นเจดีย์พุทธ สร้างในยุคราชวงศ์ Licchavi ราวศตวรรษที่ 7 ซึ่งเป็นโบราณสถานที่สำคัญมากในเขตนี้ ปัจจุปันไม่ได้มีการกราบไหว้หรือการดูแลจากวัดใด

ด้วยความที่อยากสัมผัสคนท้องถิ่น จึงให้ไกด์ท้องถิ่นพาลงไปเดินในหมู่บ้าน ผ่านไร่นาและบ้านที่เป็นชาวบ้าน ดูชีวิตชาวบ้านที่นี่เรียบง่าย ไม่มีเสาไฟฟ้าเลยในช่วงที่เดินอยู่ 90นาที

ที่น่าสนใจคือได้เดินผ่านเด็กนักเรียนที่แต่งตัวเต็มยศไปโรงเรียน ทำให้เรารู้สึกว่านักเรียนใน subcontinent (ชื่อเรียกของส่วนที่เป็นยื่นออกไปสู่ทะเลอินเดียของทวีปเอเชียใต้ อันประกอบด้วย อินเดีย บังกาลาเทศ เนปาล ภูฐาน ศรีลังกา ปากีสถาน และมัลดีฟ) แต่งตัวแปลกแยกแบบตะวันตกเกิน ในขณะที่คนท้องถิ่นมักแต่งกายแบบพื้นถิ่นอยู่ จำได้ว่าที่รัฐหิมาจัญประเทศที่อินเดีย เด็กหญิงยังใส่ถุงน่องสีขาวทึบไปโรงเรียนด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นยังสงสัยว่าเขาซักผ้าด้วยอะไรถุงน่องขาวมาก ทั้งที่พื้นที่แถบนั้นเหมือนไม่มีน้ำประปา

Kathmandu, Nepal

ปรากฎการณ์ที่แปลกเรื่องหนึ่งที่เจอในเมืองหลวงของเนปาลคือน้ำ เห็นขุดคูท่อฝังทั่วเมืองจนทำให้ถนนแคบ การจราจรแออัดและน้ำตามโรงแรมก็เหลืองดูไม่น่าอาบ ไม่ต้องพูดถึงดื่มกิน จึงลองถามคนท้องถิ่น จึงรู้ว่าค่าน้ำที่นี่แพงมากรายได้กว่า 20% ของคนชนชั้นแรงงานต้องเอาไปจ่ายเป็นค่าน้ำ ทั้งที่ประเทศตั้งอยู่บนเทือกเอาหิมาลัยซึ่งน่าจะมีน้ำใช้ทั้งปี ผลประโยชน์ของน้ำกลายเป็นปัญหาคอรัปชั่นใหญ่มาก ในกาฐมาณฑุมีบริษัทให้บริการขนน้ำภึง 400กว่าบริษัท ซึ่งทำเงินจากการขายน้ำเป็นคันรถ จึงมีการจ่ายเงินเพื่อให้น้ำประปาไม่ไหล ถ้าเสียตรงไหนก็ถ่วงเวลาให้ซ้อมช้า หรือส่วนต่อตรงไหนกำลังก่อสร้างก็ให้สร้างค้างกันเป็นปีๆ ทำให้เกิดภาวะขาดน้ำโดยทั่วไป ฟังเรื่องนี้แล้วน่าสงสารมาก

 

การเตรียมตัว

Himalayas เทือกเขาหิมาลัย

เครื่องบิน เนปาลตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยระหว่างอินเดียและจีน ทั้งนี้เวลาบินจะเห็นเทือกเขาหิมาลัยและยอดเขาเอเวอเรสต์ไกลๆ จากหน้าต่าง ของเครื่องบิน เพื่อได้เปรียบในการชมหิมาลัยขาไปควรเลือกที่นั่งด้านขวา และขากลับควรนั่งด้านซ้ายเพราะจะได้เห็นหิมาลัยจากหน้าต่างเครื่องบิน

สนามบิน เมื่อออกจากอาคารผู้โดยสารถ้ามีคนมาช่วยยกกระเป๋าให้หรือช่วยเข็นกระเป๋าให้ ให้ปฎิเสธไปแต่แรกๆ มิเช่นนั้นต้องเตรียมใจจ่ายค่าทิป

Manaslu, Nepal ยอดเขาหางปลา ถ่ายจากบนเครื่อง เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 8 ของโลก ความสูง 8,163เมตร

อากาศ กาฐมาณฑุตั้งอยู่ในหุบเขาบนเทือกเขาหิมาลัยด้วยความสูงถึง 1400เมตรจากระดับน้ำทะเล (ประมาณภูชี้ฟ้าของไทย) ทำให้อากาศค่อนข้างแห้งและมีฝุ่นเยอะ และประกอบกับการก่อสร้างทั่วเมือง และการเผาถ่านในช่วงกลางคืนเพื่อบรรเทาความหนาว (อุณหภูมิเฉลี่ย 2-18องศาในช่วงกลางคืน และ 17-29องศาในช่วงกลางวัน) ทำให้มีมลภาวะพิษในอากาศค่อนข้างสูง ควรจะติดหน้ากากอนามัยที่กันฝุ่น pm 2.5 ไปด้วย ยิ่งคนที่ต้องการไปเทรค ใช่ว่าอากาศข้างบนจะบริสุทธิ์ ยิ่งต้องมีหน้ากากกันฝุ่น เพราะหลังจากความสูง 3,000เมตรแล้วจะเริ่มไม่มีต้นไม้ ยิ่งถึง 4,000 เมตรจะไม่เหลือหญ้าด้วยเป็นฝุ่นกรวดล้วนๆ เจอคนที่ไปเทรค Everest Base Camp เล่าให้ฟังว่าเขาไอเป็นเลือด เพราะมีฝุ่นกรวดเข้าไปในปวดเยอะ

น้ำ อย่างที่ได้พูดถึงเรื่องน้ำประปาในกาฐมาณฑุว่ามีปัญหามาก ทำให้น้ำตามโรงแรมแม้จะ 5 ดาวก็เหลืองดูไม่น่าอาบ ไม่ต้องพูดถึงดื่มกิน ฉะนั้นให้ซื้อน้ำเตรียมไว้เพื่อใช้ล้างหน้า แปรงฟันด้วย เพราะความอนามัยเป็นที่น่ากังขา น้ำดื่มตามร้านอาหารก็ไม่ควรดื่มถ้าไม่ได้มาจากขวดที่ปิดซีล เคยเจอในร้านอาหารหนึ่งเสริฟน้ำดื่มขวดที่เปิดแล้ว น่าจะเอาขวดไปกรอกน้ำมาให้

แสงแดด ในพื้นที่ราบสูงแดดจะค่อนข้างแรงเพราะอยู่ใกล้กับพระอาทิตย์มากขึ้น ต้องเตรียมแว่นกันแดดและครีมกันแดดไปด้วย ในเนปาล เครื่องอุปโภคบริโภคสมัยใหม่มีค่อนข้างจำกัด เพราะคนที่นี้รายได้ค่อนข้างต่ำ การหาซื้อของเหล่านี้ที่มีคุณภาพดีจะค่อนข้างยากมากๆ สำหรับคนที่จะไปเทรคกิ้งยิ่งต้องเตรียมเยอะมากๆ เพราะระหว่างทางไม่มีอะไรเลย ได้ข่าวว่า ต้องเตรียมแบงค์ 5ดอลลาร์ไปเยอะ ไม่ว่าจะเป็นค่าชาร์ทมือถือ ราคาผลไม้ลูกละ หรือมาม่าก็ห่อละราคานี้

อาหาร อาหารเนปาลคล้ายอาหารอินเดียแต่จืดกว่ามาก ถ้าไม่ชอบอาหารแบบนั้นให้เตรียมอาหารแห้ง น้ำพริกและซอสปรุงรสไปเอง พยายามกินอาหารที่ปรุงเสร็จร้อนๆ และระวังเรื่องผลไม้ให้มาก เพราะเขาไม่มีน้ำล้าง ควรพกน้ำดื่มไปล้างเองจะปลอดภัยมากกว่า


470 views

Comments


bottom of page